ทางด้านงานเลี้ยงหรือของฝาก
เนื่องจากเมล่อนญี่ปุ่นเป็นผลไม้ที่เปี่ยมไปด้วยสรรพคุณ ชาวญี่ปุ่นจึงมักนำเมล่อนติดไม้ติดมือไปเป็นของฝากผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ซึ่งเปรียบเหมือนกับการขอหรืออวยพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
ทางด้านการปรุงอาหาร
เมล่อนญี่ปุ่นเป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์อย่างเห็นได้ชัดเจนจากลวดลายบนผิวของมัน ดังนั้นเมล่อนญี่ปุ่นจึงเป็นผลไม้ที่มักถูกนำไปใช้ในการตบแต่งอาหาร โดยเฉพาะ ขนมหวาน หรือ ไอศกรีม ให้สวยงามยิ่งขึ้น และ อีกทั้งยังได้อารมณ์ญี่ปุ่นเสริมปนเข้ามาอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ความหวานแบบหอมๆ ที่เมล่อนให้มานั้นจะทำให้ ขนมหวาน หรือ ของเย็น อร่อยขึ้นหลายเท่าตัว และ เพิ่มความสดชื่นให้กับผู้ทานอย่างแน่นอน
เมนูอื่นๆอีกมากมายคลิ๊กที่นี่
- น้ำหนักต้องหนักตามขนาดของลูกเมล่อนให้สมเหตุผล
- เลือกเมล่อนที่มีสีเหลืองซีด ไม่ใช่ เขียวเข้มเพราะเป็นสัญญาณของการสุกเกินไป
- หลบเลี่ยงเมล่อนที่มีรอยแตก ช้ำ หรือ จุดนิ่มๆตามผลเมล่อน
- ทดสอบกลิ่นว่า หอม ซ่อนความหวานอ่อนๆรึเปล่า โดยการใช้นิ้วจิ้มเบาๆไปที่จุดกลมๆ นิ่มๆ บนหัวเมล่อน
- หลังจากเลือกเมล่อนที่รูปทรงสวยงาม
- ล้างให้สะอาดแล้วผ่ากลางออกเป็นแนวตั้งตรง
- งัดเมล็ดออกโดยใช้นิ้วโป้งหรือช้อน
- หั่นแบ่งออกเป็นซีกๆ
- หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วเอาเปลือกนอกออก
ดูวิธีการอย่างละเอียดได้ที่นี่
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
- มีวิตามินซี เอ และสารอาหาร เช่น แคลเซียม เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก และ อื่นๆ อีกมากมาย
- ลดคอเลสเตอรอล และ ช่วยในการลดน้ำหนัก เนื่องจากปราศจากไขมัน
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ลดความเครียด จากการลดกระบวนการทางเคมีภายในร่างกาย
- เก็บรักษาเมล่อนที่ยังไม่ถูกผ่าหรือตัดไว้ในห้องจนกว่าจะสุกเต็มที่ หลังจากสุกเต็มที่แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็นได้อีก 5 วัน
- เก็บรักษาเมล่อนที่ถูกผ่าหรือตัดได้ไว้ในตู้เย็นสูงสุด 3 วัน
- เมล่อนที่ถูกชำแหละแล้วจะดูดกลิ่นเข้าไปในเนื้อได้ง่ายมาก ดังนั้นทางที่ดีควรเก็บเมล่อนไว้ในบรรจุภัณฑ์ หรือ หุ้มด้วยฟิมล์พลาสติก
- ยังไม่ถูกผ่าหรือตัด จะใช้เวลาสุกภายใน 1-2วัน
- หลังจากสุกแล้วจะอยู่ในตู้เย็นได้ถึง 5 วัน
- หากถูกผ่าหรือตัดควรเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา และ จะอยู่ได้อีก 3-4 วัน
- แม้จะอยู่เก็บรักษาเมล่อนในตู้เย็น เมล่อนจะยังสุกขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ตู้เย็นนานเกินไป